สัญญาณที่ส่งผ่านทางช่องทางการสื่อการ

สัญญาณ

                    สัญญาณที่ใช้ในระบบสื่อสารแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภทคือสัญญาณอะนาลอกและสัญญาณดิจิตอล  สัญญาณอะนาลอกเป็นสัญญาณที่มีขนาดเป็นค่าต่อเนื่องส่วนสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณ ที่มีขนาดเปลี่ยนแปลง เป็นค่าของเลขลงตัว  โดยปกติมักแทนด้วย ระดับแรงดันที่แสดงสถานะเป็น  "0"   และ  "1"   หรืออาจจะมีหลายสถานะ  ซึ่งจะกล่าวถึงในเรื่องระบบสื่อสารดิจิตอล   มีค่าที่ตั้งไว้ (threshold)  เป็นค่าบอกสถานะ  ถ้าสูงเกินค่าที่ตั้งไว้สถานะ
เป็น  "1"  ถ้าต่ำกว่าค่าที่ตั้งไว้  สถานะเป็น  "0" ซึ่งมีข้อดีในการทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง 

                เนื่องจากสัญญาณรบกวนต้องมีค่าสูงกว่าค่าที่ตั้งไว้สถานะจึงจะเปลี่ยน  ตัวอย่างเช่น  ในระบบดิจิตอล  สถานะของข้อมูลเป็น  "0"   สัญญาณรบกวนมีค่า  0.2  โวลต์    แต่ค่าที่ตั้งไว้เท่ากับ  0.5  โวลต์   สถานะยังคงเดิมคือเป็น  "0"  ในขณะที่ระบบอะนาลอก  สัญญาณรบกวนจะเติมเข้าไปใน สัญญาณจริงโดยตรง   กล่าวคือสัญญาณจริงบวกสัญญาณรบกวนเป็นสัญญาณขณะนั้นทำให้สัญญาณรบกวนมีผลต่อสัญญาณ จริงและมีความผิดพลาดเกิดขึ้น 
                 กระแสไฟฟ้าแบ่งออกได้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลับ  หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารโทรคมนาคม  เมื่อกล่าวถึงสัญญาณในเชิงประยุกต์ก็ อาจจะจำแนกในหมวดหมู่นี้ได้  การไหลของไฟฟ้ากระแสตรงในวงจรอย่างสม่ำเสมอไม่สามารถส่งข่าวสารได้  แต่เมื่อไรที่ทำการควบคุมกระแสให้เป็นพัลส์โดยการเปิดสวิตซ์  กระแสจะลดลงสู่ศูนย์และปิดสวิตซ์  กระแสก็จะมีค่าค่าหนึ่ง  พัลส์ของกระแสถูกผลิตตามรหัสที่ใช้แทนแต่ละตัวอักษรหรือตัวเลย โดยการรวมของพัลส์  การทำงานของสวิตซ์สามารถส่งข้อความใด ๆ ได้  ตัวอย่างที่เห็นได้เสมอได้แก่  รหัสมอร์ส  เป็นต้น  ส่วนไฟฟ้ากระแสสลับในรูปของคลื่นอยู่ในจำพวกคลื่นวิทยมีการใช้งานอย่าง กว้างขวางเป็นที่รู้จักกันดี

ประเภทของการส่งสัญญาณข้อมูล

             การส่งสัญญาณข้อมูลแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภทคือ  การส่งแบบขนานและแบบอนุกรม

  • การสื่อสารแบบขนาน (Parallel Transimission)
              การส่งแบบขนานนั้นจะทำการส่งข้อมูลทีละหลาย ๆ บิต  เช่น  ส่ง  10011110  ทั้ง  8 บิต  ออกไปพร้อมกันโดยผ่านสายส่งข้อมูลที่มี  8  เส้น  ส่วนการส่งข้อมูลแบบอนุกรม  ข้อมูลจะถูกส่งออก
ไปทีละบิตต่อเนื่องกันไป  เช่นถ้าข้อมูลคือ  10011110  เลข 0  ทางขวามือสุดเป็นบิตที่  1  เรียงลำดับไปจนครบ  8 บิต  โดยการส่งนั้นจะใช้สายส่งเส้นเดียวเท่านั้น  ดังภาพ  แสดงการส่งข้อมูลแบบขนานและแบบอนุกรม  ตัวอย่างการใช้งานที่เห็นชัดของการส่งข้อมูลแบบขนาน  เช่น  การต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ 
ซึ่งปกติจะใช้สายยาว  5  เมตร  ถึง  10  เมตรเท่านั้นและตัวอย่างการส่งข้อมูลแบบอนุกรม  เช่นการต่อเทอร์มินัลเข้ากับคอมพิวเตอร์แม่ที่อยู่ห่างกันสัก  100  เมตร  ซึ่งทำให้ประหยัดสาย

ข้อดี     คือ สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็ว เพราะส่งครั้งละ  8  บิท
ข้อเสีย  คือ ใช่ส่งแต่เฉพาะใกล้ ๆ เท่านั้น   ราคาแพง

  • การสื่อสารแบบอนุกรม  (Serial Tranmission)
             การส่งข้อมูลแบบอนุกรมแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภทได้แก่
    • การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัส  (asynchronous data transmission)  และ
    • การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส (synchronous data transmission)
                       การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัส มักจะใช้กับเทอร์มินัลธรรมดา  (dumb terminal)  ไว้สำหรับรับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์แม่และแสดงผลที่จอ  โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้  การส่งข้อมูลแบบนี้มักจะมีอัตราในการรับส่งข้อมูลที่แน่นอนมีหน่วยเป็นบิตต่อวินาที  (bit per second)  เมื่ออุปกรณ์อะซิงโครนัสจะส่งข้อมูล  1 ไบต์  ก็จะส่งบิตเริ่มต้น  (start bit)  ก่อน  ซึ่งมักจะเป็น  "0" 
และตามด้วยข้อมูลทั้ง  8 บิตใน  1 ไบต์  แล้วจึงจะส่งบิตหยุด (stop bit)  ซึ่งมักจะเป็น "1"  บิตทั้งหมดนี้
จะรวมกันเป็น  10  บิต  ในการส่งข้อมูลเรียงตามลำดับดังนี้  1 บิตเริ่มต้น  7  บิตข้อมูล (data bit) 1 บิต
ภาวะเสมอมูล  และ 1 บิตหยุด   กระบวนการเหล่านี้จะห่างกัน 1 วินาที ที่จะส่งข้อมูลชุดต่อไป  ซึ่งก็หมายถึงว่าเมื่อคอมพิวเตอร์แม่ได้รับบิตเริ่มต้น  ก็คาดหวังว่าจะได้รับอีก  9 บิตภายในเวลา  1 วินาที

ในระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับเวลาว่าเมื่อไรบิตต่อไปจะมาถึง  ถ้าไม่ตรงตามที่กำหนดไว้  การส่งข้อมูลก็จะล้มเหลว  ระบบนี้เหมาะในการส่งอักขระจากเทอร์มินัลมายังคอมพิวเตอร์แม่ทันที  เคาะแป้นพิมพ์ของเทอร์มินัลก็จะรู้ทันทีว่าจะต้องส่งไบต์ใดโดยเติมบิตเริ่มต้นและบิตหยุดที่หัวและท้ายของข้อมูลไบต์นั้น  ตามลำดับให้ครบ  10 บิตที่จะส่ง  ในการส่งข้อมูลอัตราการส่งข้อมูลอาจจะเป็น  110, 300, 1,200, 2,400, 4,800, 9,600, 19,200  บิตต่อวินาที  โดยที่ทางด้านส่งและด้านรับจะต้องมีการตั้งค่าความเร็วให้เท่ากัน

                 การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส จะไม่ใช้บิตเริ่มต้นและบิตหยุด  จะไม่มีการการหยุดชั่วขณะระหว่างอักขระ  จะใช้วิธีให้จังหวะเวลาทั้งสองทางที่ติดต่อกัน  มีอยู่สองวิธีที่ปฏิบัติคือ  ใช้อักขระซิงก์ (sinc character) 
หรือใช้สัญญาณนาฬิกา (clock singal)  การใช้อักขระซิงก์ไว้หน้าบล็อก (block)  ของอักขระที่ใหญ่  โดยการใส่อักขระซิงก์ไว้หน้าบล็อกของข้อมูลอักขระซิงก์นี้เป็นบิตจำนวนหนึ่งที่ทางอุปกรณ์เครื่องรับสามารถใช
้ในการกำหนดอัตราเร็วของข้อมูลให้ตรงกับทางอุปกรณ์เครื่องส่ง  การใช้สัญญาณนาฬิกาของด้านส่ง และสัญญาณนาฬิกาของด้านรับจะใช้คนละสายหรือคนละช่องสัญญาณในการส่งข่าวสารเกี่ยวกับเวลาของ
ข้อมูลที่จะส่ง  โดยทั่วไปการส่งข้อมูลแบบซิงโครนัสจะทำงานภายใต้การควบคุมของโปรโตคอลในระบบนั้น ๆ และนิยมใช้กับเทอร์มินัลฉลาดและเทอร์มินัลอัจฉริยะ

 การส่งข้อมูลจะนำข้อมูล  1 ไบท์  มาส่งออกไปตามสายไฟฟ้าเรียงกันไปจนครบ  8  บิท  ซึ่งเท่ากับ  1 ตัวอักษร

 ข้อดี        คือ  สามารถส่งได้ระยะทางไกลมากกว่า  Parallel Tranmission
 ข้อเสีย คือ  ความเร็วในการรับส่งข้อมูลมีจำกัด ต้องคำนึงถึงรายละเอียดในการรับส่งข้อมูล

Copyright by Passkorn Roungrong